ในทุกวันนี้ สังคมรอบตัวเราเปลี่ยนแปลงไปมากเหลือเกิน หากตั้งรับไม่ทันก็มีสิทธิ์พังทั้งชีวิตได้เลย มีน้องนุ่งบางคนเข้ามาพูดคุยปรึกษาหารือ ว่าจะทำเช่นไรในสภาวะเช่นนี้ แหม!!! หากให้ผมตอบก็จะเหมือนกับว่า เตี้ยอุ้มคร่อมไปซะฉิบ เพราะชีวิตผมเองทุกวันนี้ ก็ไม่ต่างกับหลาย ๆ คน ที่กำลังมีปัญหาอยู่ เพียงแต่ผมมีแนวทางในการกำหนดเส้นทางเดินให้ตัวเอง โดยใช้ทฤษฎีหมากรุก ปรับให้เข้ากับชีวิตจริง

ผมเล่นหมากรุกครับ……. หมากรุกไทยมีอะไรมากมายให้น่าศึกษา ทั้งในแง่ของการละเล่น

ในเสี้ยวหนึ่งของชีวิต ผมเคยเข้าร่วมแข่งขันหมากรุกไทย “ขุนดาวรุ่ง” ที่จัดโดยแสงโสม แข่งขันที่ลานพันทิพย์พลาซ่า ผ่านรอบแรกไปได้แบบไม่เหนื่อยนัก แต่ด้วยวิสัยของคนเดินทาง ทำให้รอบต่อไปต้องสละสิทธิ์ แม้จะเสียดายแต่ไม่เสียใจมากมายนัก

ปีต่อมาผมก้าวกระโดดเข้าแข่งขัน “ขุนทองคำ” บอกกันไว้เลยว่ารายการนี้ คือที่พบปะกันของพยัคฆ์ซ่อน-มังกรซุ่มของแท้ เซียนป่อง, หนูทอง, เซียนแหว่ง, โคนสุรกานต์, หมอดินแดง ฯลฯ เหล่านี้คือมือโคตรเซียนทั้งนั้น รอบแรกผมต้องประทะฝีมือกับ เซียนโบ๊ะ สุพรรณ คิดในใจว่าไม่ง่ายแน่ ๆ แม้ชื่อชั้นจะเป็นรองโคตรเซียนที่กล่าวมา แต่ขุนทองคำ….พลิกยาก

ก่อนเริ่มแข่ง ผมคิดในใจแล้วว่าอยากชนะในรายการนี้สักครั้ง แม้จะเป็นรอบแรก เพราะในแวดวงยุทธจักรหมากรุก เราเป็นสังคมแคบ ๆ หากเป็นผู้ชนะขึ้นมา ย่อมมีคนพูดถึงบ้างละน่า แต่อีกใจก็คิดว่าไม่อยากแข่ง ไม่อยากทำใจยอมรับหากต้องเป็นผู้พ่าย ผมสบตากับนักข่าวสยามกีฬาด้วยหัวใจเต้นระรัว

เราพันตูกันไป 3 กระดาน ใช้เวลาไปเพียงแค่ 30 นาที เฮอะ!! ไม่เห็นยากเลย สิ่งที่เรากังวลตั้งแต่ก่อนแข่งมลายหายไป หมากรุกไทยไม่ใช่การโอบอุ้มปัญหาไว้ แต่คือการปลดปล่อยเสียมากกว่า

วันรุ่งขึ้นหนังสือพิมพ์สยามกีฬาพาดหัวข่าวย่อยว่า “เซียนโบ๊ะ สุพรรณ ถล่ม………………….ยับเยิน” เออแน่ะ!!

แพ้แล้วเป็นไร……… ชนะแล้วจะเป็นไร……….. หัวใจสำคัญของหมากรุกอยู่ที่กลวิธีการเดินหมากมากกว่า ขอบคุณเซียนโบ๊ะ สุพรรณครับ ขอบคุณที่สอนให้ผมรู้จักการกำหนดเส้นทางเดินให้ชีวิต โดยกลวิธีของหมาก

ตั้งแต่การแข่งขันพ่ายแพ้อย่างหมดรูปในวันนั้น ผมก้าวเดินอย่างมั่นใจในกระดานชีวิต

แพ้จะเป็นไร…… ชนะแล้วจะเป็นไร….. ไม่สำคัญแล้ว ผมพร้อมที่จะเดินหมากแพ้หรือชนะ เดินด้วยความสุขุมมากขึ้น หมากรุกไม่ยากหากต้องตั้งกระดานเล่นใหม่ แต่กับหมากชีวิตเล่า…… เราจะเดินอย่างไร หากพ่ายแพ้จะตั้งกระดานใหม่ได้หรือไม่

“บนกระดานเมื่อแรกเริ่ม…เบี้ย ซึ่งเราเปรียบเสมือนด่านหน้า เป็นหมากที่ค่าน้อยที่สุด

โดยมากแล้ว หากเมื่อเริ่มเล่นหมากรุกใหม่ ๆ เกือบทุกคนจะไม่ใส่ใจในตัว “เบี้ย” มากนัก เนื่องเพราะเดินหน้าตรงได้ครั้งละ 1 ตา กินเฉียงได้ครั้งละ 1 ตา หากยังเป็นเบี้ยจะไม่สามารถถอยหลังได้ ดังนั้นเมื่อเริ่มเปิดฉากขึ้นมา เราจะเริ่มแลกกินเบี้ยกับคู่ต่อสู้โดยไม่คิดอะไรมากมาย ในบางครั้ง บางคนเปรียบเทียบเบี้ยเป็นเพียง “พลทหาร” ไม่ให้ความสำคัญ

ในชีวิตจริงบ้างเล่า เราทำอย่างไรกับเบี้ย ให้ความสำคัญพอหรือไม่ ในสนามรบที่แท้จริง ผู้ที่อยู่เบื้องหน้ารบประจันกับข้าศึกก็คือพลทหาร เราจะยอมสูญเสียพลทหารไปโดยไม่ยอมทำอะไรเลยหรือ เป็นไปได้หรือว่าหากพลทหารตายในสนามรบจนหมดแล้ว นายพัน นายพล จะอยู่กันได้ มีวิธีที่ดีกว่านั้น ซึ่งเราเรียกกันว่า กลศึก

….เบี้ยก็มีตาเดินของเบี้ย…. แม้จะก้าวทีละน้อย ก้าวทีละก้าว แต่หากเรามีกลศึก กลยุทธที่ดี การก้าวทีละก้าวก็ทำให้ถึงจุดหมายเช่นกัน ทำฉันใดในเมื่อเบี้ยจำเป็นต้องเดินหน้า? จะแลกกินกันอย่างไรที่จะไม่ทำให้หมากอื่นในกระดานต้องเสียหาย? มีหมากอื่นผูกไว้หรือไม่? เหล่านี้ล้วนแต่ต้องคิดให้รอบคอบ ทางเดินเบี้ยมีจำกัดก็จริง แต่หากเรามีกลหมากที่ดี ก็สามารถทำให้ได้เปรียบในกระดานนั้นได้

การกินแลกเบี้ยกันนั้น จุดหมายเพื่อหาทางกำจัดหมากของคู่ต่อสู้ รวมถึงเปิดทางให้หมากตัวอื่นได้มีทางเดิน ดังนั้นหากจำเป็นต้องกินเบี้ยกันแล้ว เราก็ต้องดูว่ากินแล้วได้เปรียบหรือเสียเปรียบ หากกินแล้วได้เปรียบหมายถึงหมากเรามีตัวมากกว่า หรือ มีทางเดินให้ตัวอื่นในจุดที่ดีกว่า ถือว่าหมากเป็นต่อ

หากกินแล้วเสียเปรียบเล่า อย่าเสียดาย อย่าตีโพยตีพาย หมากที่ตัวน้อยกว่าไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายแพ้เสมอไป ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ พิจารณา หาทางแก้ไขในตาอื่นต่อไป เส้นทางยังอีกยาวนานนัก

เมื่อเราพันตูกันต่อไป จะเริ่มมองเห็นความสำคัญของตัวเบี้ยมากขึ้นเรื่อยๆ หากเดินเบี้ยขึ้นหน้าไปได้ 3 ตา จากเบี้ยตัวเดิมจะเปลี่ยนเป็นเบี้ยหงาย มีศักดิ์หมากสูงกว่าเดิมเทียบเท่ากับเม็ด สามารถเดินเฉียงกินเฉียงได้ทั่วกระดาน (จะได้กล่าวต่อไปในตอนหน้า เรื่องเม็ด) นั่นแหละคืออันตรายสำหรับคู่ต่อสู้อย่างแท้จริง

จนเมื่อการต่อสู้ย่างเข้าสู่ปลายกระดาน มีฝ่ายไล่ ฝ่ายหนี ตอนนี้แหละที่เบี้ยด้อยค่าตัวนี้ จะได้สำแดงศักยภาพอย่างเต็มที่ การนับศักดิ์หมากของเบี้ยคือ 64 ตาหนี หมายความว่าเราสามารถเดินหมาก ไล่คู่ต่อสู้ได้ทั้งหมดนับหมากรวม 2 ฝ่ายได้ 64 ครั้ง ค่อย ๆ เดิน ค่อย ๆ กำหนดยุทธศาสตร์ ให้เบี้ยหงายรุกไล่อย่างเต็มสถานะ ฝ่ายที่หนีก็ต้องมียุทธศาสตร์การหนี ทำอย่างไรจึงจะพ้นรังสีอำมหิตจากเจ้าตัวเล็กนี้ได้

โดยความสำคัญ เบี้ยหงายผูกเพียง 2 ตัว สามารถป้องกันเรือ ซึ่งเปรียบประดุจขุนพลของฝ่ายตรงข้ามมารุกขุนได้ และเบี้ยหงาย 1 ตัวและม้า 1 ตัว สามารถรุกไล่ขุนฝ่ายตรงข้ามให้จนได้ แต่ต้องอาศัยยุทธศาสตร์

ในเส้นทางเดินของชีวิตเล่า เราให้ความสำคัญกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงใด เรามองเบี้ยว่า “เป็นเพียงเบี้ย” กันอยู่หรือไม่….

เบี้ย…เคยสอนผมว่า “อย่ากินเล็กกินน้อย” เพราะในเกมการต่อสู้นั้น จริงคือเท็จ เท็จคือจริง ได้เสมอ ซึ่งนั่นคือกลยุทธอย่างหนึ่งเช่นกัน บางครั้งอาจเดินหมากให้เรากินฟรี ๆ เพื่อเปิดทางเอาหมากตัวอื่นที่มีศักยภาพมากกว่า มาสู้กับเราก็ได้ ดังนั้นก่อนจะทำอะไรลงไป หากคิดให้ถ้วนถี่ ตรองให้แน่นอน เมื่อก้าวเดินเราก็จะมีความพร้อมมากขึ้น กล้าที่จะก้าวมากขึ้น โดยมีความมั่นใจเป็นตัวผลัก

เบี้ย…ยังสอนผมว่า เมื่อเราก้าวเดินด้วยความมั่นใจ โดยมีจุดหมายรออยู่เบื้องหน้า เมื่อถึงจุดหมาย คุณค่าก็จะเพิ่มมากขึ้นประดุจ เบี้ยหงาย.. นั่นเอง ที่สามารถเดินหน้า ถอยหลัง ทะลุทะลวงได้มากขึ้นทั่วกระดาน

คุณละครับ!!! อยากทำอย่างไรกับเบี้ย…

ทิดโส โม้ระเบิด