เวนิสตะวันตก ความเป็นตะวันตกที่มาไม่ถึงตะวันออก (4)

ยุกติ มุกดาวิจิตร

บทความพิเศษ | ยุกติ มุกดาวิจิตร

 

เวนิสตะวันตก

ความเป็นตะวันตกที่มาไม่ถึงตะวันออก (4)

 

ด้วยความรุ่มรวยและเป็นแหล่งผลิตความรู้แบบมนุษยนิยมที่สำคัญ ผลงานด้านทัศนศิลป์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพเขียนของชาวเวนิสจึงมีลักษณะโดดเด่นและมีส่วนผลักดันการก้าวไปของศิลปะวิทยาการของยุโรปสมัยใหม่อย่างสำคัญไม่แพ้ฟลอเรนซ์

เวนิสเองนั้นอุดมไปด้วยศิลปินเรอเนสซองส์ ทั้งที่เป็นชาวเวนิสโดยกำเนิดและที่เป็นคนต่างถิ่น

ย้อนกลับไปยังยุค “ก่อนเรอเนสซองส์” ในศตวรรษที่ 14 ศิลปินชาวฟลอเรนซ์ที่มาสร้างผลงานใกล้เวนิสคนสำคัญคือจอตโต (Giotto di Bondone, 1266?-1337)

ผลงานสำคัญของเขาคือภาพจิตรกรรมฝาผนังในวิหารอารีนา (Arena Chapel บางครั้งเรียก Scrovegni Chapel ตามชื่อผู้ออกทุนสร้าง) ที่เมืองปาโดวา ด้วยการอุปถัมภ์ของเอ็นริโก สโกรเวหงิ (Enrico Scrovegni) นายทุนธนาคารชาวปาโดวา จอตโตรับงานวาดภาพฝาผนังในวิหารนี้ระหว่าง ค.ศ.1305-1306

ผลงานจอตโตในวิหารอารีนา ผนังด้านทางออกคือภาพวันตัดสิน

ผลงานของจอตโตโดดเด่นแตกต่างจากคนรุ่นก่อนเขาอย่างชัดเจน จนเมื่อเทียบกับผลงานของชีมาบูเอ (Cimabue, 1240-1302) ซึ่งเป็นศิลปินเอกในยุคนั้นและเป็นครูของจอตโตเองแล้ว ดังเต้ ผู้ซึ่งช่วงหนึ่งของชีวิตได้เคยพำนักอยู่ที่ปาโดวาและคุ้นเคยกับจอตโตเป็นอย่างดี ถึงกับเอ่ยในบทกวีของเขาบทหนึ่งว่า “ชีมาบูเอนั้นถือว่าเป็นเอก หากขณะนี้กลับเป็นจอตโตแทนเสียแล้ว ส่วนคนแรกกลายเป็นคนดังที่อับแสง”

จากที่ผมเองได้มีโอกาสไปชมภาพฝาผนังที่วิหารและศึกษาเปรียบเทียบเพิ่มเติมกับผลงานในศักราชใกล้เคียงกัน ทำให้พอจะเข้าใจการก้าวเปลี่ยนจากภาพเขียนทางคริสต์ศาสนายุคกลางก่อน ค.ศ.14 และงานใน ค.ศ.14 ได้มากขึ้น

ส่วนมากแล้วภาพเขียนยุคกลาง (หรือศิลปะแบบโกธิก) มักเน้นความสมมาตร การบูชาพระเยซูและสาวก ความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคลสำคัญในคริสต์ศาสนา ในลักษณะที่แทบจะไม่แสดงออกถึงสีหน้า ท่าทาง ของผู้คน

นอกจากนั้น ภาพยุคกลางยังมักขับเน้นความอลังการของเรื่องราวที่เล่าด้วยการลงรักปิดทองบนภาพที่มักวาดบนไม้ รวมทั้งโมเสกประดับสีทอง ในเวนิสเอง

ตัวอย่างที่ดีของงานลักษณะนี้ก็คือภาพประดับโมเสกบนเพดานในมหาวิหารนักบุญมาร์ก และฉากประดับในโบสถ์ที่นำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะนั่นเอง

หากแต่จอตโตนับเป็นคนแรกๆ ที่วาดเรื่องราวในคริสต์ศาสนาด้วยการใช้หลักธรรมชาตินิยม มนุษยนิยม และสัจนิยม

ภาพวาดของเขามีแสงเงา สีสว่าง “ตามธรรมชาติ” มีฉากหลังเป็นทิวทัศน์ตามธรรมชาติ มีฉากสถาปัตยกรรมที่มีเส้นนำสายตาและจุดรวมสายตามบนระนาบเดียวกันแบบภาพ perspective ตัวละครในภาพก็แสดงสีหน้า แววตา อารมณ์ความรู้สึก มีลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนแตกต่างกันออกไป มีความลึก มี perspective ที่ “สมจริง”

ผิดไปจากรูปแบบยุคกลางที่มักแบนเป็นสองมิติ

พระเยซูเข้าพิธีล้างบาปโดยนักบุญจอห์นและพระเยซูถูกตรึงกางเขน

แน่นอนว่าจอตโตยังคงใช้สัญลักษณ์ทางศาสนาอย่างครบถ้วน เล่าเรื่องในคริสต์ศาสนาตามตำรา ใช้สีแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของเรื่องราวคือสีฟ้า (แทนสีทอง) เล่าเรื่องประวัติของพระเยซู เช่น ประวัติของพระแม่มารี การบอกข่าวการปฏิสนธินิรมลของพระแม่มารีโดยนางฟ้า ภาพตอนพระเยซูประสูติ พระเยซูเข้าพิธีล้างบาปโดยนักบุญจอห์น จนถึงอาหารมื้อสุดท้าย และการตรึงกางแขน

ตลอดจนภาพสำคัญภาพหนึ่งที่เขาวาดเต็มผนังที่ผู้เข้ามาในวิหารจะต้องเห็นก่อนออก คือภาพวันตัดสิน ที่มีพระเยซูในฐานะพระผู้เป็นเจ้า ตัดสินมนุษย์ทุกคน ด้านซ้ายของภาพเป็นเหล่านักบุญที่ขึ้นสวรรค์ ด้านขวาของภาพเป็นนรก ส่วนตอนล่างค่อนไปทางด้านซ้าย มีภาพเหมือนของเอ็นริโก สโกรเวหงิ ผู้ออกทุนสร้างวิหารแห่งนี้และอุปถัมภ์การวาดภาพของจอตโต กำลังถวายวิหารแห่งนี้แด่พระแม่มารี

มีผลงานของศิลปินเวนิสยุคต่อๆ มาเป็นจำนวนมากที่ผมมีโอกาสได้ชมและศึกษาที่เวนิสและที่แสดงในเมืองอื่นๆ อย่างฟลอเรนซ์และโรม สายธารศิลปะในเวนิสนั้น นอกจากจะมีศิลปินชั้นนำจากฟลอเรนส์แวะเวียนมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าจะเป็น โดนาเทโล (Donatello, 1386-1466) ประติมากรฟลอเรนซ์ผู้โด่งดัง เขาไปสร้างประติมากรรมลอยตัวที่ปาโดวา แอนเดรีย แมนเทงา (Anrea Mantegna, 1431-1506) จิตรกรและประติมากรซึ่งได้อิทธิพลจากโดนาเทโล

ทั้งสองส่งอิทธิพลต่อศิลปินเวนิส 3 คน คือพ่อลูกศิลปินครอบครัวเบลลินี (Jacopo Bellini, 1400-1470; Gentile Bellini, 1429-1507; Giovanni Bellini, 1430-1516) ทั้ง 3 มีส่วนสำคัญในการเปลี่ยนภูมิทัศน์ศิลปะในเวนิส

และนับเป็นรุ่นบุกเบิกของเรเนซองส์บนเกาะเวนิสเอง

สโกรเวหงิถวายวิหารแด่พระแม่มารี