หลายคนมองว่า “พัทลุง” เป็นแค่เมืองผ่าน จนมองข้ามความน่าสนใจไปอย่างน่าเสียดาย แต่ขอบอกเลยว่า จริง ๆ แล้วจังหวัดนี้มีอะไรเด็ด ๆ มากมาย ที่ให้ทุกคนได้มาสัมผัส รอให้ทุกคนมาตักตวงความสุขที่ ..พัทลุง

ขอเริ่มที่เกาะหมาก เกาะเล็ก ๆ กลางทะเลสาบสงขลา ในเขตอำเภอปากพะยูน ที่มีสโลแกนประจำอำเภอเก๋ ๆ ว่า เมืองสามแผ่นดิน (แผ่นดินแรกคืออำเภอปากพะยูน แผ่นดินที่สองคือตำบลเกาะหมาก และแผ่นดินที่สามคือเกาะนางคำ) ขึ้นชื่อว่า “เกาะ” หลายคนอาจนึกท้อที่ต้องนั่งเรือข้ามฟาก แต่การเดินทางไปที่เกาะหมากนั้น เพียงแค่หนึ่งกลั้นลมหายใ จ นั่งรถข้ามสะพานเกาะหมาก-ปากพะยูน เราก็จะได้ไปเฟี้ยวเที่ยวบนเกาะหมากแล้วครับ

เมื่อเอ่ยถึงเกาะหมาก หลายคนอาจสงสัย เอ๊ะ!!.. เกาะหมาก ไม่ได้อยู่ที่ จ.ตราด เหรอ? ถูกต้องครับ เกาะหมาก อยู่ในจังหวัดตราด แต่จังหวัดพัทลุงก็มีเกาะหมากเช่นกัน หากถามว่า ระหว่างเกาะหมาก ตราด และ เกาะหมาก พัทลุง เกาะไหนสวยกว่ากัน อันนี้ต้องขอบอกว่า ถ้าหากเรื่องความสวยใสของน้ำทะเล ก็คงต้องยกให้เกาะหมาก ตราด แน่นอน เพราะเกาะนั้นตั้งอยู่กลางทะเลอ่าวไทย ที่ต้องนั่งเรือเร็วไปนานนับชั่วโมง แล้วหากถามว่าเกาะหมาก พัทลุง มีดีอะไร ขอบอกเลยว่า เกาะหมากพัทลุง มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย มีกิจกรรมดี ๆ ให้ทำหลายอย่าง ใครที่ชอบการท่องเที่ยวแบบ Slow file ต้องการสัมผัสและซึมซับกับวิถีชีวิตชาวบ้านกลางทะเลสาบสงขลา เกาะหมากพัทลุง ตอบโจทย์เป็นอย่างมากครับ

ทะเลสาบสงขลาหรือทะเลสาบพัทลุง มีพื้นที่น้ำทั้งหมด 1,040 ตารางกิโลเมตร มีความเชื่อมโยงกันในพื้นที่ของสองจังหวัดคือจังหวัดพัทลุงและจังหวัดสงขลา สามารถแบ่งทะเลสาบได้เป็นสี่ตอนคือ ทะเลน้อย ทะเลหลวง ทะเลสาบสงขลาตอนกลาง และทะเลสาบสงขลาตอนล่าง โดยมีระบบนิเวศของน้ำสามแบบคือน้ำจืด น้ำเค็ม และน้ำกร่อย ในช่วงเดือนพฤศจิกายน ถึงเดือนกุมภาพันธ์ จะเป็นน้ำจืด ส่วนในเดือนมีนาคมถึงเดือนกรกฎาคม จะเป็นน้ำกร่อย และเดือนสิงหาคมถึงเดือนตุลาคม จะเป็นน้ำเค็ม จึงทำให้ทะเลสาบแห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพสูงครับ

เกาะหมากเป็นเกาะที่ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของทะเลสาบสงขลา โดยพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบเชิงเขาและมีพื้นที่ชุ่มน้ำที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ชุ่มน้ำนานาพันธุ์

มาถึงเกาะหมากแล้ว ขอตรงไปสักการะพระเจดีย์สีทองที่วัดเกาะโคบ เพื่อเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/6qP4QzV9KPFtFoQm6 ) วัดเกาะโคบเป็นวัดโบราณของเกาะหมาก ตั้งอยู่ริมทะเลสาบสงขลาส่วนกลาง สุดแผ่นดินพัทลุง ที่วัดแห่งนี้มีพระเจดีย์สีทองตั้งอยู่ริมทะเลสาบ เปรียบดั่งประภาคารแห่งศรัทธาของคนลุ่มเลสาบ ชาวบ้านละแวกนี้ก็มีความเชื่อเกี่ยวกับพญานาค ด้วยเป็นพื้นที่กลางคุ้งน้ำทะเลสาบสงขลา มีโขดเขาหิน เชื่อกันว่ามีถ้ำใต้น้ำเป็นที่สถิตของพญานาคี นาคา ทางวัดจึงได้ต่อยอดความเชื่อนี้ โดยได้สร้างสรรค์ประติมากรรมรูปพญานาคประดับศาสนสถานไว้หลายจุดอย่างสวยงามครับ

พระอุโบสถริมทะเลสาบสงขลาครับ

จากนั้นเดินทางต่อไปยัง ไทรโอบรัก รุกขแห่งศรัทธา ที่บ้านหัวหิน (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Gn2j2MPqPouRcS4p9 ) เป็นต้นรักที่อยู่ในชุมชนบ้านหัวหิน พอต้นไทรโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็กอดต้นรักจนแน่น จึงกลายเป็นที่มาของชื่อ ไทรโอบรัก ว่ากันว่าต้นไทรมีอายุกว่า 500 ปีเลยครับ ต้นใหญ่ราวๆ 17-18 คนโอบ ความสูงเกือบ 50 เมตร ใหญ่ขนาดไหน ลองเทียบ Scale กับคนดูครับ

จากไทรโอบรัก ผมมุ่งหน้าสู่ ชมดาว ลานยอ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/tYsNp1pfHsXp1aoD6 ) ซึ่งจะเป็นจุดเริ่มกิจกรรมต่อไป รวมถึงเป็นที่พักค้างแรมของผมในคืนนี้ด้วยครับ

เมื่อพักผ่อน นั่งตากลมเย็น ๆ จนเรี่ยวแรงกลับมาแล้ว กิจกรรมต่อไปคือการนั่งเรือชมบรรยากาศในทะเลสาบสงขลาตอนกลางครับ พื้นที่ของทะเลสาบสงขลาตอนกลาง จะมีเกาะเล็กเกาะน้อยอยู่หลายเกาะ เช่น เกาะหมาก เกาะนางคำ เกาะกระ เกาะร้านไก่ เกาะราบ และหมู่เกาะสี่เกาะห้า ซึ่งหมู่เกาะสี่เกาะห้าเป็นเกาะที่มีการสัมปทานรังนกของบริษัทรังนกสก๊อต เราจะไม่สามารถขึ้นไปชมบนเกาะได้ คงทำได้เพียงแค่ดูจากบนเรือเท่านั้น

เมื่อสมาชิกพร้อม ไกด์คิมพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางกันครับ

เรือค่อย ๆ แล่นผ่านดงกระจูด ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของนกน้ำนานาพันธุ์ครับ

นั่งเรือไม่นานก็มาถึงเกาะกระ เกาะขนาดเล็กที่เราสามารถเดินเที่ยวได้รอบเกาะ บนเกาะจะมีจุดให้สักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์หลายจุด รวมถึงจุดถ่ายรูปสวย ๆ มากมาย

ไฮไลต์ของเกาะกระ ผมขอยกให้ถ้ำกระจกครับ ถ้ำที่นี่ไม่เหมือนถ้ำอื่น ๆ ที่หลายคนเคยเที่ยวมาอย่างแน่นอน เพราะถ้ำกระจกเป็นถ้ำเล็ก ๆ ตื้น ๆ จนในใจผมคิดว่าไม่น่าจะใช้คำว่า “ถ้ำ” ด้วยซ้ำ แต่จุดเด่นของถ้ำกระจกแห่งนี้ คือบ่อน้ำตื้น ๆ ที่อยู่ใต้ถ้ำนี่แหล่ะครับ

ยามที่น้ำในบ่อนิ่ง ๆ และโดนองศาของแสงที่เหมาะเจาะ จะเกิดภาพสะท้อนของผนังถ้ำขึ้น จนแลดูเหมือนภาพสะท้อนจากกระจกครับ และยิ่งผนังถ้ำมีความขรุขระด้วยแล้ว มันยิ่งเพิ่มความมหัศจรรย์ให้กับถ้ำแห่งนี้เป็นอย่างมาก ใครอยากได้รูปเท่ห์ ๆ ก็ต้องลงทุนเดินเข้าไปให้ชิดผนังถ้ำ แต่ต้องระวังหัวด้วยนะครับ เพราะเพดานถ้ำต่ำมาก ๆ ถ้าหัวแตก แอนตาซิลไม่จ่ายนะครับ

จากถ้ำกระจก เดินถัดมานิดเดียว จะพบกับหินมังกรครับ เนื้อหินเป็นหินเขี้ยวหนุมาน หากมองดีๆ ภายในหินก้อนนี้จะมีลักษณะคล้ายกับรูปมังกรขดตัวอยู่ คนจีนเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์มงคล จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมจะมาพรเรื่องอำนาจ ให้เติบโตในหน้าที่การงานหรือการปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้อยู่ในโอวาท

ใกล้ ๆ กันจะพบต้นโพธิ์รากเงินรากทอง ไกด์คิมบอกว่ารากโพธิ์เปรียบเสมือนคนไม่มีต้นทุนชีวิต คือเลือกเกิดไม่ได้ เกิดในที่แห้งแล้ง ไม่มีสารอาหารอะไรเลย ต้องใช้เวลานานมาก กว่ารากเล็ก ๆ ที่หย่อนจากด้านบนลงมาสู่ด้านล่าง ดูดสารอาหารจากด้านล่างไปหล่อเลี้ยงลำต้นด้านบน จากรากเล็กกลายเป็นรากที่ยิ่งใหญ่ คอยค้ำจุนไม่ให้ต้นไม้หักโค่นลงมา เปรียบกับคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว รากใหญ่ 2 รากนี้มีสีเขียวทอง และสีเขียวขาว (เขียวเงิน) นักท่องเที่ยวจึงนิยมมาขอเงินของทอง อยากได้เงินก็ขอรากเงิน อยากได้ทองก็ขอรากทอง อยากได้ทั้งเงินทั้งทองก็...ไปทำงาน 555

ไกด์คิมเล่าว่าบริเวณนี้นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซียได้สังเกตเห็นรอยคล้ายรอยพระบาทอยู่บนหน้าผาหิน (จากภาพจะเห็นเป็นรอยสีขาว) จึงเกิดความเชื่อ ความศรัทธาว่าน่าจะเป็นรอยพระบาทของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแห่งวัดพะโคะ จึงได้มีการอัญเชิญรูปหล่อหลวงปู่ทวดจากรัฐปีนังมาประดิษฐานอยู่ ณ จุดนี้ ในหนึ่งปีจะมีชาวมาเลเซียที่ศรัทธาในตัวหลวงปู่ทวดมาทำบุญที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 200-300 คน ชาวมาเลยเซียเชื่อว่า การมาทำบุญครั้งแรกในช่วงต้นปี ราววันที่ 1 มกราคม จะทำให้ชีวิตมีความสุข แคล้วคลาดปลอดภัย ส่วนครึ่งปีหลัง ราวเดือนมิถุนายน ให้ตลอดทั้งปีมีความสุข นักท่องเที่ยวนิยมมาขอพรให้แคล้วคลาดปลอดภัย

มีศาลาจีนริมน้ำด้วย

หน้าผาตรงนี้ลักษณะคล้าย ๆ หัวเต่าครับ

มุมนี้เป็นซุ้มประตูหินครับ

บนเกาะกระยังมีความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้ต่าง ๆ มากมาย ดูขนาดของต้นนี้ซิครับ ใหญ่กว่าตัวผมอีก

จากเกาะกระ นั่งเรือต่อไปยังเกาะร้านไก่ เกาะเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับหมู่เกาะสี่เกาะห้า เป็นเกาะที่ชาวประมงใช้หลบฝน หลบแดดในช่วงกลางวัน ลักษณะเป็นถ้ำที่สามารถเดินทะลุหากันได้ครับ

ใกล้เวลาแดดร่มลมตก ไกด์คิมพากลับมายังชมดาว ลานยอ เพื่อมารอชมแสงสุดท้ายของวัน เสียดายวันที่ผมไป ท้องฟ้าไม่เคลียร์ มีเมฆค่อนข้างเยอะ แสงสุดท้ายไม่สามารถส่องผ่านกลุ่มเมฆได้ ถึงแม้จะไม่เห็นแสงสุดท้าย แต่ภาพเบื้องหน้าของผม ณ เวลานี้ ก็สะกดผมจนไม่อยากลุกไปไหนเลยครับ

ช่วงเย็น การได้มานั่ง Dinner ริมทะเลสาบ จิบเครื่องดื่มเย็น ๆ ท่ามกลางแสงไฟสลัว ๆ กับคนรู้ใจ มันทำให้มื้ออาหารนั้นอร่อยเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว เย็นนี้แม่ครัวเตรียมอาหารไว้ให้หลายเมนูเลย เริ่มที่ผัดเผ็ดปลามิหลัง หรือที่คนภาคกลางรู้จักกันดีในชื่อปลาดุกทะเลครับ ผัดมาแบบแห้ง ๆ เครื่องแกงเข้าเนื้อปลาดีงาม เผ็ดกำลังดี อร่อยเลยทีเดียว

ยำมะม่วงกุ้งหวาน จานนี้อร่อยจริง ๆ มะม่วงไม่เปรี้ยวมาก และยังได้ความหวานจากกุ้งและน้ำยำ พิมพ์ไปน้ำลายสอไป 555

ปลาเผาเกลือ ปลาสด เนื้อหวาน จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดส์ แซบหลายครับ

น้ำพริกทานกับผักปลอดสารพิษ น้ำพริกรสจัด อร่อยมากครับ

ปิดท้ายด้วยกุ้งเผา มาทั้งขนาดกลางและขนาดใหญ่แบบผ่า มันเป็นก้อนอีกคนละ 1 ตัว ซึ่งผมขอยกให้เป็นไฮไลต์ของมื้อนี้เลยครับ เพราะกุ้งที่อยู่บนจานนี้ หากินที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว นอกจากที่นี่ที่เดียว กุ้งที่นำมาเผาคือกุ้งสามน้ำ เป็นกุ้งก้ามกรามที่เติบโตตามธรรมชาติในทะเลสาบสงขลา ที่มาของชื่อกุ้งสามน้ำ มาจากลักษณะของน้ำในทะเลสาบสงขลา ที่จะมีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ น้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม ทำให้กุ้งที่นี่มีเนื้อแน่น รวมถึงรสชาติที่มีเอกลักษณ์ต่างจากกุ้งพันธุ์อื่นๆ ด้วย บอกเลยว่าเนื้อเป็นเนื้อ มันเป็นมัน (มันหัวกุ้ง) ครับ

การนอนเต็นท์ครั้งนี้เป็นการนอนเต็นท์ที่มีความสุขมาก ๆ เปิดเต็นท์นอน พร้อมกับมองดูทะเลดาวที่มีแสงระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ซึ่งในชีวิตคงไม่มีโอกาสได้ทำแบบนี้บ่อยครั้งนัก สำหรับใครที่ไม่สะดวกนอนเต็นท์ ที่ชมดาว ลานยอ ก็มีห้องพักไว้ให้บริการด้วยครับ

เช้าวันใหม่ ทีมแม่ครัวได้เตรียมอาหารเช้าไว้ให้เรียบร้อย เช้านี้มีทั้งข้าวต้ม ข้าวเหนียวไก่ทอด ขนมครกพื้นบ้าน ข้าวเหนียวปิ้ง ไข่ต้ม ทานไปพร้อมกับชมวิวลานยอที่อยู่เบื้องหน้า คืออยากบอกว่าบรรยากาศดีมาก ๆ ตื่นเช้ามาอยากจะเจอบรรยากาศแบบนี้ทุกวันเลย

หลังอาหารเช้า ขอนั่งชมวิถีชีวิตของชาวบ้านที่ออกหาปลาในทะเลสาบสงขลากันสักหน่อย

ใครที่แรงยังเหลือเฟือ สามารถพายคายัคเล่นได้ฟรี น้ำในทะเลสาบสงขลาไม่ลึกอย่างที่คิด ช่วงที่ผมไป ระดับน้ำแค่เอวเท่านั้น

สำหรับผม ขอไปนั่งอ่านหนังสือชิลล์ๆ กลางทะเลสาบสงขลาครับ

อีกหนึ่งสิ่งดี ๆ ที่ชมดาว ลานยอเตรียมให้กับแขกที่เข้าพัก นั่นคือการอนุรักษ์พันธุ์สัตว์น้ำ กับกิจกรรม กินร้อยปล่อยล้าน กินแล้วปล่อยคืน สู่ความยั่งยืนของชุมชน คือเมื่อเรากินกุ้งไปแล้ว เราก็ควรจะปล่อยลูกกุ้งตัวเล็ก ๆ จากธนาคารสัตว์น้ำ ให้กลับคืนสู่ทะเลสาบสงขลาอีกครั้ง ถือเป็นการท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบจริง ๆ ครับ

ใครที่สนใจกิจกรรมดี ๆ ทั้งการนั่งเรือชมรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา การได้ทานอาหารมื้อพิเศษ รวมถึงการแคมป์ปิ้งที่ลานยอ สามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เพจ ชมดาว ลานยอ (https://www.facebook.com/ChomdawLanyor) โทรศัพท์ 061-4919362 รับรองว่าคุณจะได้รับความสุขกลับบ้านอย่างแน่นอน

หากใครมีเวลาเยอะ บนเกาะหมากยังมีกิจกรรมให้เราได้เรียนรู้วิถีชีวิตชาวบ้านอีกหลายอย่างเลยครับ เช่น ชมสวนพรวนิตย์ เรียนรู้วิถีเศรษฐกิจพอเพียง รู้จักพืชผักพื้นบ้าน / น้ำพริกเจ๊ะสะ นักท่องเที่ยวสามารถทำน้ำพริกจากวัตถุดิบชุมชน / ดูแล้วทำตามภูมิปัญญา ให้นักท่องเที่ยวได้ทำขนมโคจากวัตถุดิบพื้นถิ่น / ยกไซจับกุ้ง ให้นักท่องเที่ยวได้ทดลองใช้ชีวิตชาวประมงท้องถิ่น ออกเรือและลงน้ำไปยกไซที่วางไว้ดักกุ้ง ดักปลา เพื่อนำมาทำอาหาร / ประติมากรรมทราย ทำงานประดิษฐ์จากกรวดทรายล้างซึ่งเป็นวัสดุเหลือใช้ในท้องถิ่น / ไข่ในหิน ให้นักท่องเที่ยวจะได้ลองทำไข่เค็มจากดินจอมปลวก / ไซมงคล ทำไซจิ๋วโดยใช้ไม้ไผ่ซีกเล็ก ๆ (ที่ไม่ได้ขนาดจากการทำไซขนาดใหญ่) ใช้ประดับตกแต่งเพื่อความเป็นสิริมงคล /ถีบสามล้อ ปิ่นโตห้อยท้ายไปจ่ายตลาด ให้นักท่องเที่ยวได้ปั่นจักรยานยามเช้า เที่ยวตลาดนัดชุมชน ชมควายไล่ทุ่ง วัวเล็มหญ้า นกหาปลา หมูทำนาแห้ว ผมว่าใช้เวลาเที่ยวที่เกาะหมากสัก 3 วัน 2 คืนกำลังดีเลยครับ

ก่อนที่จะอำลาเกาะหมาก ผมขอแวะหามุมถ่ายรูปเก๋ ๆ ที่ป่าเสม็ดขาวกลางทุ่งกระจูดหมู (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Jdy7wedm8vmXpUZR7 ) ให้อารมณ์เหมือนได้มาเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนามาก ๆ นี่ถ้ามีฝูงช้าง ฝูงม้าลาย ไปเดินอยู่ในทุ่ง มันคือการได้ไปตะลุยป่าซาฟารีดี ๆ นี่เอง แต่ถึงแม้จะไม่ได้เห็นฝูงช้าง ฝูงม้าลาย เราจะได้เห็นฝูงวัว ฝูงควายแทนครับ ถ้าหากมาเที่ยวทุ่งหญ้าสะวันนาช่วงฤดูแล้ง ทุ่งหญ้าแห่งนี้จะเป็นสีทองทั้งทุ่ง แต่ถ้ามาช่วงฤดูฝนก็จะเห็นเป็นทุ่งหญ้าเขียวขจีแทน

จากเกาะหมาก เราจะข้ามไปเที่ยวอีกหนึ่งเกาะ นั่นคือเกาะนางคำ เพียงแค่นั่งรถข้ามสะพานปากเหล็ก ก็ถึงเกาะนางคำแล้ว ของดีของเด่นของเกาะนางคำ คือ แกรนด์แคนยอนเกาะนางคำครับ

ในสมัยก่อนพื้นที่ของแกรนด์แคนยอนเป็นพื้นที่ที่คนจะเข้ามาขุดดินเพื่อนำไปขาย พอขุดไปเรื่อย ๆ ดินก็หมด เหลือแค่ส่วนที่เป็นก้อนหินที่มีลักษณะแปลกตา คล้ายกับแกรนด์แคนยอน ตามที่เห็นในปัจจุบัน หลังจากที่มีคนมาเจอ พื้นที่ตรงนี้เลยกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวไปเลย และตั้งชื่อพื้นที่ตรงนี้ว่าแกรนด์แคนยอนเกาะนางคำครับ

แกรนด์แคนยอนเกาะนางคำ จะมีให้เห็น 2 บรรยากาศ หากมาในช่วงฤดูฝนราวเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม จะเกิดเป็นแอ่งน้ำล้อมรอบแกรนด์แคนยอน โดยน้ำในบ่อจะมี 2 สี คือสีเขียวและสีฟ้า ขึ้นอยู่กับแร่ธาตุต่าง ๆ ที่อยู่ในหินบริเวณนั้น แต่ถ้ามานอกเหนือจากนี้ ก็จะเห็นเป็นพื้นที่แห้ง ๆ ตามภาพครับ

จากอำเภอปากพะยูน ไปต่อที่อำเภอเขาชัยสน เริ่มที่บ่อน้ำร้อนเขาชัยสนครับ (https://maps.app.goo.gl/Z3VuBW7SQKYPcVFY8 )

บ่อน้ำร้อนเขาชัยสนเป็นแอ่งน้ำร้อนที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ติดกับเชิงเขาชัยสน ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นบ่อน้ำร้อนศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถบรรเทาอาการของโรคต่าง ๆ ได้ เช่น โรคผิวหนัง อัมพฤกษ์ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัว การเข้ามายังบ่อน้ำร้อนเขาชัยสน มีค่าธรรมเนียมในการบำรุงพื้นที่ ผู้ใหญ่คนละ 20 บาท (สามารถนำบัตรค่าธรรมเนียมมาใช้เป็นส่วนลดในการใช้บริการห้องแช่หรือนวดแผนไทยได้) ด้านหน้ามีลานจอดรถกว้างขวางเลยทีเดียว

ภายในมีพื้นที่สำหรับแช่มือและเท้า ซึ่งเป็นอ่างแช่สาธารณะ ให้อารมณ์การแช่น้ำร้อนในอ้อมกอดขุนเขา เปิดให้แช่กันทุกวันตั้งแต่เวลา 05.00-20.00 น. การแช่ในพื้นที่สาธารณะ ไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกแล้ว แต่ถ้าหากใครต้องการความเป็นส่วนตัวก็จะมีห้องอาบน้ำไว้คอยบริการด้วย โดยมีค่าบริการชั่วโมงละ 120 บาท และยังมีห้อง VIP ด้วย มีค่าบริการชั่วโมงละ 200 บาทครับ

นอกจากนี้ยังมีบริการนวดแผนไทยเพื่อผ่อนคลายด้วย ถ้านวดห้องพัดลม ชั่วโมงละ 150 บาท นวดห้องแอร์ชั่วโมงละ 200 บาทครับ

ติดกับบ่อน้ำร้อนเขาชัยสน เป็นที่ตั้งของถ้ำพระ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/HBRwo1rGkPqqBHEX7 ) ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระนอน นามว่า พระวิมุดตะโร ขนาดยาวประมาณ 20 เมตร

ใกล้กับองค์พระนอน เป็นที่ตั้งของสถูปโบราณขนาดใหญ่ สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2521 บรรจุอัฐิหลวงพ่ออินทร์และพระโพธิสัตว์ รวมไปถึงพระพุทธรูปอื่น ๆ ให้สักการะด้วย นอกจากนี้ยังมีภาพเขียนที่เกี่ยวข้องกับพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าอยู่ตามผนังถ้ำด้วย แต่ดูจากลักษณะของรูปภาพแล้ว อายุภาพไม่น่าจะเกิน 50 ปีครับ

เสียดายที่ถ้ำพระขาดการดูแล ทำให้พื้นที่ดูรกร้างและน่ากลัว อีกทั้งยังมีฝูงลิงมาหากินบริเวณหน้าถ้ำเป็นจำนวนมาก และจุดที่ประดิษฐานพระนอนและที่ตั้งของสถูป จะอยู่ชั้นบนสุด ซึ่งจะต้องเดินผ่านจุดที่ค่อนข้างมืด ทั้งความอับชื้น ทั้งกลิ่นเหม็นของขี้ค้างคาว มันให้อารมณ์หลอนจริง ๆ ถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วย ไม่แนะนำให้เข้าไปชม และไม่ควรนำรถมาจอดไว้ที่หน้าถ้ำ เพราะลิงจะมาก่อกวนรถอย่างแน่นอน ควรจอดรถที่ลานจอดรถหน้าบ่อน้ำร้อน แล้วใช้การเดินเท้ามาที่ถ้ำพระครับ

ไม่ไกลจากบ่อน้ำร้อนเขาชัยสน เป็นที่ตั้งของธารน้ำเย็น (พิกัด https://maps.app.goo.gl/RPBu1GxUTSHW7ZDL9 ) ลักษณะของธารน้ำเย็นเป็นเชิงหน้าผาภูเขาชัยสน ด้านล่างมีน้ำไหลลอดผ่านมาจากในถ้ำ ทำให้น้ำบริเวณดังกล่าวมีความเย็นกว่าปกติ กิจกรรมเมื่อมาที่ธารน้ำเย็น คือการนั่งเรือชมหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ ใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยมีค่าบริการเรือลำละ 200 บาท สามารถนั่งได้ 4 คนครับ สามารถติดต่อเรือบริเวณด้านหน้าถ้ำได้เลย

การเที่ยวชมในถ้ำน้ำเย็น จะเป็นการนั่งเรือตลอดเส้นทาง ไม่มีการลงเดินในถ้ำ ระหว่างการนั่งเรือไม่ควรเอามือออกนอกเรือ ห้ามจับกาบเรือ และที่สำคัญ ควรเที่ยวอย่างมีความรับผิดชอบ โดยการไม่เอามือไปสัมผัสกับหินงอกหินย้อยภายในถ้ำ บนเรือจะมีไฟฉายขนาดใหญ่ให้คอยส่องดูหินงอกหินย้อยด้วยครับ

ภายในถ้ำจะมีหินงอกหินย้อยที่มีความสวยงามและมีลักษณะแตกต่างกันไป สุดแล้วแต่จินตนาการของเรา อย่างบริเวณนี้เรียกว่าถ้ำค้างคาว จะมีค้างคาวหนูมาอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก และยังมีหินลักษณะเหมือนไม้ค้ำถ้ำด้วยครับ

จุดนี้ที่เพดานถ้ำจะมีหินย้อยลักษณะเหมือนอะไร คงไม่ต้องบอกนะครับ เพราะเหมือนช้างมาก

จุดนี้มีลักษณะคล้ายเรือคว่ำ โดยที่หัวเรือจะมีหินลักษณะคล้ายแม่ย่านางเรือ จึงมีการผูกผ้าสามสีไว้ คนเรือเล่าว่าบริเวณที่ผูกผ้าสามสีหากดูดีๆ จะมีหน้าคล้ายเจ้าแม่นาคีครับ

หินย้อยแมงกะพรุน 2 ตัวขี่กันอยู่

หินย้อยนมแพะ

จุดนี้เรียกว่าม่านเพชร เมื่อหินย้อยต้องแสงไฟเกิดเป็นแสงระยิบระยับ สวยงามดังเพชรครับ

บริเวณถ้ำหัวใจเพชร จะมีหินย้อยลักษณะคล้ายหัวใจเพชร 2 ดวง ซึ่งจุดนี้ทางอำเภอเขาชัยสนเคยนำคู่บ่าวสาวมาจดทะเบียนสมรสกันตรงนี้ด้วยครับ

หินด้านซ้ายมือของคนเรือ เรียกว่าหินย้อยหัวใจมังกรครับ

หินลายโมเสคครับ

หินก้อนนี้ลักษณะคล้ายฟันปลาฉลาม

มีจุดที่เราต้องนอนราบไปกับเรืออยู่ประมาณ 3-4 จุด อารมณ์คล้าย ๆ กับการชมถ้ำเลเขากอบ ที่ จ.ตรังเลย แต่ที่ถ้ำเลเขากอบ ระยะจะยาวและเสียวกว่าครับ

เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่สนุกและตื่นเต้น ที่สำคัญไม่เหนื่อยเลย นั่งเรือสวย ๆ หล่อ ๆ ยาวไป ในถ้ำไม่ร้อนด้วย ใครที่มีเวลา ลองไปสัมผัสความสวยงามในธารน้ำเย็นดูนะครับ บริการล่องเรือให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. ครับ

ไปเที่ยวบ่อน้ำร้อน ธารน้ำเย็นที่เขาชัยสนแล้ว ขอไปต่อที่อำเภอกงหรา เพื่อไปลุยเล่นน้ำตกกันบ้าง ขอเริ่มที่น้ำตกไพรวัลย์ครับ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/Z7NoTGHFQNZMPrC38 )

น้ำตกไพรวัลย์ เป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดพัทลุง อยู่ในพื้นที่รับผิดชอบของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด ตัวน้ำตกมี 7 ชั้น มีน้ำให้ชมตลอดทั้งปี ปริมาณน้ำมีมากบ้างน้อยบ้างตามแต่ละฤดู บรรยากาศเงียบสงบ ร่มรื่นด้วยด้วยพรรณไม้นานาชนิด สายน้ำที่ตกลงมาจากหน้าผาสูง ทำให้กระแสน้ำค่อนข้างแรง ถ้าหากอยากเล่นน้ำ คงต้องเล่นบริเวณแอ่งน้ำตกด้านล่างจะปลอดภัยสุดครับ การเข้าถึงตัวน้ำตกนับว่าสะดวก จากจุดจอดรถสามารถเดินเข้าถึงจุดจมวิวน้ำตกได้ไม่ไกล สำหรับสาย adventure อยากจะไปสัมผัสตัวน้ำตกอย่างใกล้ชิด คงต้องปีนป่ายกันนิดหน่อยครับ การเข้าชมน้ำตกไพรวัลย์ มีค่าบำรุงสถานที่ เด็ก 20 บาท ผู้ใหญ่ 30 บาทครับ

อีกหนึ่งน้ำตกในอำเภอกงหรา คือน้ำตกมโนราห์ (พิกัด https://maps.app.goo.gl/yRAUb485cWubfWDA7 ) อยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเทือกเขาบรรทัดเช่นเดียวกับน้ำตกไพรวัลย์ เป็นน้ำตกขนาดกลาง เหมาะกับการพักผ่อนและเล่นน้ำชิล ๆ ที่สำคัญคือมีน้ำใสสะอาด สายน้ำไหลแรงกำลังดี ก่อนจะไหลสู่ลำธาร ซึ่งภายในลำธารก็จะมีโขดหิน เกาะแก่ง อยู่ตามทาง และยังมีสไลด์เดอร์ให้นักท่องเที่ยวได้เล่นน้ำกันด้วย

ปิดท้ายที่อำเภอควนขนุน กับการชมแสงแรกที่คลองปากประ และล่องเรือชมทะเลบัวแดงกลางทะเลสาบสงขลาในส่วนทะเลน้อยครับ

ผมรอชมแสงแรกบริเวณสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ตรงปากคลองปากประครับ (พิกัด : https://goo.gl/maps/BoSPwnWaUD2KUeiFA ) นักท่องเที่ยวหลายคนนิยมไปนั่งเรือ และชมแสงแรกตรงปากคลองปากประ บริเวณที่ตั้งของยอยักษ์ แต่เนื่องจากผมต้องการถ่ายภาพแสงแรกและเห็นมุมกว้างของยอยักษ์โดยใช้ขาตั้งกล้อง เลยจำเป็นต้องอยู่บนฝั่งครับ

วันนั้นท้องฟ้าไม่ค่อยจะเป็นใจสักเท่าไร เมฆค่อนข้างเยอะ แต่ก็ยังดีที่พอจะได้เห็นแสงสวย ๆ อยู่บ้าง แต่ละช่วงเวลา ท้องฟ้าก็จะเปลี่ยนสีไปเรื่อย ๆ จนพระอาทิตย์โผล่พ้นน้ำ เริ่มทอแสงสีทองสาดส่องลงบนผิวน้ำของทะเลสาบสงขลาตอนบนจนเป็นสีทอง นี่ถ้าวันไหนฟ้าเปิด จนได้เห็นพระอาทิตย์ดวงโต ความสวยตรงหน้า คงจะสวยขึ้นเพิ่มอีกหลายเท่าตัว

หลังจากชื่นชมความงามจนสมใจแล้ว ผมมุ่งหน้าสู่ สายคลองสองเล รีสอร์ท ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับสะพานคอนกรีต เพื่อจะไปล่องเรือชมความงามของทะเลน้อยครับ ใครที่ต้องการจะไปชมความงามของทะเลสาบสงขลา และจุดท่องเที่ยวสำคัญ ไปจนถึงทะเลน้อย สามารถติดต่อเหมาเรือกับทางรีสอร์ทได้ (084 076 6251) ในราคา 1,000 บาท เรือลำหนึ่งนั่งได้ 6 คน ใช้เวลาล่องเรือทั้งสิ้นประมาณ 2-3 ชั่วโมง ครับ

โดยเรือจะพาแวะที่ยอยักษ์เป็นจุดแรก จุดนี้เราจะได้สัมผัสกับยอยักษ์อย่างใกล้ชิด จากนั้นเรือจะพาไปชมต้นลำพูกลางน้ำเป็นจุดหมายต่อไป

และอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจ เห็นจะเป็น “นาในเล” ซึ่งนับเป็นภูมิปัญญาของชุมชนบ้านปากประ นาในเลคือการปลูกข้าวในทะเลสาบสงขลา เป็นการแก้ปัญหาฝนไม่ตกตามฤดูกาล ซึ่งทำให้นาข้าวเสียหาย ชาวบ้านที่นี่จึงได้ทดลองหว่านข้าวในทะเลสาบซึ่งมีลักษณะเป็นดินโคลน ในแต่ละรอบปี น้ำทะเลจะลดระดับลงติดต่อกันประมาณ 4-5 เดือน (ช่วงเดือนมิถุนายน-ตุลาคม) ซึ่งพอเหมาะกับการเจริญเติบโตของต้นข้าวพอดี จึงได้สืบทอดการทำนาในทะเลสาบสงขลามาจนถึงปัจจุบัน

จากนั้นก็ล่องเรือชมวิถีชีวิตไปตลอดเส้นทาง

เรือพามาแวะที่เกาะกลางน้ำ สามารถขึ้นไปถ่ายรูปเล่นบนเกาะได้ครับ

จากนั้นล่องเรือต่อไปยังสะพานเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา หรือชาวบ้านที่นี่รู้จักกันดีในนาม สะพานเอกชัย สะพานแห่งนี้มีความยาวประมาณ 5.5 กิโลเมตร นับเป็นสะพานข้ามทะเลสาบที่ยาวที่สุดในประเทศไทย โดยจุดเริ่มต้นจากทะเลน้อย อ.ควนขนุน จ.พัทลุง ไปยัง อ.ระโนด จ.สงขลา ครับ

ติดกับสะพานเฉลิมพระเกียรติฯ มองเห็นบ้านแฝดในตำนาน บ้านสองหลังนี้เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญ ที่นักถ่ายภาพนิยมมาเก็บภาพช่วงกลางคืน โดยมีฉากหลังเป็นทางช้างเผือกครับ

ระหว่างนั่งเรือ หากวันไหนโชคดี เราจะได้เห็นควายน้ำฝูงใหญ่ ซึ่งควายน้ำที่นี่ไม่ธรรมดานะครับ เพราะการเลี้ยงควายปลักแบบนี้เป็นอีกหนึ่งภูมิปัญญาที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ว่ากันว่ามีมานานกว่า 250 ปีแล้ว โดยควายน้ำที่นี่สามารถกินหญ้าได้ทั้งบนดินและใต้น้ำในช่วงน้ำท่วมสูง น้อง ๆ สามารถดำน้ำลงไปกินหญ้าได้นานถึงเกือบ 20 วินาทีเลย และที่สำคัญ ควายน้ำที่นี่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกทางการเกษตรแห่งแรกของไทยด้วยครับ

ระหว่างล่องเรือก็จะได้เห็นชาวบ้านออกหาปลาไปตลอดเส้นทาง แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของทะเลสาบสงขลาครับ

เมื่อเข้าเขตทะเลน้อย ซึ่งเป็นแหล่งน้ำที่ต่อเนื่องกับทะเลสาบสงขลาตอนบน เราจะได้เห็นฝูงนกนานาชนิดเลยครับ เห็นว่ามีกว่า 287 ชนิด มีทั้งนกประจำถิ่นและนกอพยพมาจากที่อื่นตามฤดูกาล จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่จึงได้ถูกยกให้เป็นสวรรค์ของนักดูนก โดยวันนั้นผมเองก็ได้เห็นนกหลายชนิดอยู่เหมือนกัน แต่ถ่ายภาพมาได้เพียง 4 ชนิดเท่านั้นครับ

ฝูงนกกาน้ำออกหาปลาเป็นอาหาร

นกพริก มาเป็นครอบครัวเลย นกชนิดนี้เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองนะครับ

นกอีโก้ง ก็เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองเช่นกันครับ

นกยาง

และอีกหนึ่งไฮไลต์ ต้องขอยกให้ทะเลบัวแดง สีสันแห่งทะเลน้อย โดยดอกบัวจะเริ่มบานช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ ถึง เมษายน แนะนำให้มาช่วงเช้า ๆ เพราะจะได้เห็นดอกบัวสีแดงสด บานสะพรั่งเต็มท้องน้ำในบริเวณที่มีบัวชนิดนี้ขึ้นอยู่ แต่ถ้ามาหลังเที่ยงแล้ว ดอกบัวจะหุบ และแดดจะร้อนมากด้วยครับ

ถ้าใครไม่อยากนั่งเรือนานแบบผม อยากจะชมแค่ทะเลบัวแดง ก็สามารถเหมาเรือตรงท่าเรือทะเลน้อยได้เช่นกันครับ

หลังจากล่องเรือชมบัวแดงจนอิ่มเอมใจแล้ว ก็มุ่งหน้ากลับสู่ท่าเรือ ระหว่างทางผ่านดงเสม็ด และได้เห็นวิถีชีวิตของชาวบ้านปากประไปตลอดสองฝั่งคลองครับ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงบางส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวของพัทลุง ที่คุณจะได้สัมผัสกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ได้ซึมซับความงดงามของธรรมชาติ ทั้งทะเลสาบ น้ำตก ป่าเขา ธารน้ำร้อน/น้ำเย็น นอกจากนี้ยังมีจุดชมทะเลหมอกสวย ๆ ที่ไม่ได้กล่าวถึงในรีวิวนี้ ลองเปลี่ยนความคิดตัวเองที่ว่า พัทลุง เป็นเพียงเมืองผ่าน แล้ววางแผนเที่ยวจังหวัดนี้ดูสักครั้ง รับรองว่าคุณจะได้รับความสุขไปตลอดเส้นทางท่องเที่ยวใน “พัทลุง”

ลุงเสื้อเขียว

 วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 เวลา 12.18 น.

ความคิดเห็น